วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2558

Love in the Mist ดอกไม้แห่งความพิศวง

Love in the Mist ดอกไม้แห่งความพิศวง
จากกระแสละคร แอบรักออนไลน์ที่แม้ใกล้จะลาจอในอีกเพียงไม่กี่ตอน แต่ชื่อของดอก Love in the  Mist ยังคงล่องลอยอยู่ในความคิดคำนึงของสาวๆ หลายคน Sanook!Home เห็นละครกระแสดี เลยมาแนะนำให้รู้จักดอก Love in the Mist กันสักหน่อย




ภาพของ Anastasia's death ภาพจาก www.pinterest.com

Love in the Mist เป็นอีกหนึ่งชื่อเรียกของดอก Nigella damascene ซึ่งเป็นพืชในตระกูลเดียวกับ Ranunculaceae ลักษณะเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก อายุสั้น มีถิ่นกำเนิดจากยุโรปตอนใต้ แอฟริกาเหนือ และเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ โดยมักจะพบบนพื้นดินที่มีลักษณะชื้นและถูกปล่อยทิ้งไว้
ลำต้นของ Love in the Mist เติบโตสูงถึง 20-50 ซม.สำหรับดอกของมันจะผลิบานในช่วงต้นฤดูร้อน สีของดอกมีหลากหลายเฉดสีทั้งสีฟ้า สีขาว สีชมพู สีม่วง มีกลีบดอกตั้งแต่ 5-25 กลีบ



ภาพของ tatto จาก จาก www.pinterest.com

ดอกไม้ชนิดนี้เติบโตง่าย เพาะปลูกกันมาตั้งแต่สมัยพระนางอลิซาเบทแห่งราชวงศ์อังกฤษ ผลของมันมีลักษณะคล้ายแคปซูลและมีขนาดใหญ่ ภายในมีเมล็ด โดยผลของมันจะค่อยๆ แก่จนมีสีน้ำตาล จากนั้นเมื่อเมล็ดร่วง ต้นของมันก็จะงอกจากเมล็ดของมันเอง


ภาพของ Jane Andrew จาก www.pinterest.com

นอกจากความสวยหวาน โรแมนติกของดอกไม้ชนิดนี้แล้ว ดอกไม้ชนิดนี้ยังมีชื่อเรียกว่า Devil in the Brush หรือปีศาจ ไม่น่าเชื่อใช่ไหมล่ะคะว่าดอกไม้สวยๆ จะได้ฉายาที่แอบซ่อนความน่ากลัวไว้ด้วย


ที่มา http://home.sanook.com/3205/
เยือนสวนสมภพ ชมการผลิต “แก้วแคระ” สวยแบบธรรมชาติ หรือตัดแต่งแบบบอนไซ <<<ฉบับ 184 เดือนมิถุนายน 2555
 เรื่อง : พิมพ์ใจ พิสุทธิ์จริยานันท์


สมภพ มะลิสุวรรณ เจ้าพ่อแก้วแคระ เขาคือนักขยายพันธุ์แก้วแคระที่มีฝีมือชั้นเซียน และมีต้นใหญ่ๆ อยู่มากที่สุด
  ไม้ตัวไหนเด็ด…. ไม้ตัวไหนดัง….นิตยสารไม้ดอกไม้ประดับก็ควรนำมาตีแผ่ให้ “คนรักษ์ไม้” ได้อัพเดทใช่หรือไม่???
อาจเป็นเพราะงานพฤกษาสยามครั้งที่ 13 ณ เดอะมอลล์บางกะปิที่ผ่านมา ในการประกวด "แก้วแคระ" ดูจะร้อนแรงใช่ย่อย เพราะในวันที่มีการประกวดแก้วแคระเป็นวันเดียวกับการประกวดไม้หลายๆ ประเภท วันนั้นจึงเป็นวันรวมตัวกันของบรรดาเซียนไม้ก็ว่าได้ (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ ฉ.182 ปักษ์แรก พ. 55)
หนึ่งในนั้นคือ สมภพ มะลิสุวรรณ เจ้าของสวนสมภพ เจ้าตำรับแก้วแคระรายแรกของไทย จนกลายเป็นแบรนด์ไปเสียแล้ว หากพูดว่ามีสมภพที่ไหน มีแก้วแคระที่นั่น คงจะไม่ผิดนัก
ทีมงานจึงหาโอกาสเข้าไปพูดคุยกับคุณสมภพที่สวน เกี่ยวกับเรื่องราวของแก้วแคระ เพราะ??
ลักษณะเฉพาะตัวของแก้วแคระคือ มันจะกลมโดยธรรมชาติ 
หากเลี้ยงกลางแดดจัดๆ ด้วยแล้ว พุ่มจะแน่นเปรี๊ยะ
เขาเป็น 1 ใน 3 คนแรกที่นำแก้วแคระมาจากอินโดนีเซีย!!!!
….และเขาเป็นคนที่สามารถขยายจำนวนแก้วแคระ ได้มากที่สุดในเวลานี้!!!!

“แก้วแคระนี่เป็นของไทยนะ ดั้งเดิมนี่เป็นของไทย แต่คนอินโดนีเซียมาซื้อตัดตอนไป” สมภพให้ข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดที่แท้จริงของแก้วแคระ ซึ่งชาวอินโดฯ ที่ซื้อไปก็ไม่ใช่ใคร จันทรา กูนาวัน เจ้าของไม้ประดับแดนอิเหนานั่นเอง
“แต่เราก็ไปซื้อกลับมา” สมภพเล่าไปหัวเราะไป เพราะเป็นเรื่องตลกไหมล่ะ ไม้จากประเทศไทยแท้ๆ คนในประเทศนี้กลับไม่เคยเห็น จนเมื่อไปอยู่อินโดฯ จึงเห็นถึงความงาม อย่างนี้เขาเรียกว่า “ใกล้เกลือกินด่าง” ใช่ไหม...???
นักเล่นที่ไปซื้อแก้วแคระจากอินโดฯ ประกอบไปด้วย “นักเลงไม้ดอก” ชื่อดัง  3 คน คือ ชาตรี ไทรประเสริฐศรี, อนันต์ กุลชัยวัฒนะ และ สมภพ มะลิสุวรรณ นี่เอง “ซื้อมาต้นเล็กๆ คนละ 2-3 ต้นเท่านั้น”
 หลังจากนั้นสมภพนำมาขยายพันธุ์นับจากนั้นเป็นต้นมา จนปัจจุบันเขากลายเป็นแหล่งขยายพันธุ์แก้วแคระมากที่สุดของประเทศนี้  และด้วยการที่ทำมาเป็นเวลากว่า 10 ปี จึงมีแก้วแคระต้นใหญ่ๆ อยู่มากที่สุดเช่นกัน จนอาจจะเรียกกันได้ว่าสมภพคือ “เจ้าพ่อแก้วแคระ”
“แก้วแคระเลี้ยงง่ายมันไม่ได้มีอะไรเลย ขอแค่อย่าขาดน้ำเท่านั้นเอง พอโตขึ้นก็เปลี่ยนกระถางไปเรื่อยๆ แล้วถ้าเราอยากได้ทรงธรรมชาติเราก็ไม่ต้องตัดแต่งอะไรเลย เขาจะเป็นทรงพุ่มกลมโดยธรรมชาติ” เจ้าพ่อแก้วแคระอธิบายความงามโดยธรรมชาติของไม้แคระตัวนี้
“แต่ถ้าเราจะตัดแต่งให้เป็นบอนไซ หรือทำเป็นไม้ดัดไทยก็ได้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่ว่าจะตกแต่งไปในแนวไหน” นี่อาจจะเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของแก้วแคระ เพราะธรรมชาติเดิมๆ ของมันจะเป็นไม้ใบเล็กฟอร์มกลมเหมือนลูกบอล แต่ปัจจุบันมีการนำไปเลี้ยงตามรูปแบบของบอนไซ ซึ่งเป็นแนวที่กำลังเป็นที่นิยมไม้ตัวนี้
จากการเริ่มต้นนำ ยอดเล็กๆ เท่าก้านไม้ขีดมาชำปลูก 
จนได้ต้นแก้วแคระขนาดใหญ่ๆ 
อย่างฉากหลังนั้นใช้เวลา 10 ปี
 แต่ก็คุ่มกับความงามที่ได้
“นักเล่นนิยมไปทำบอนไซกันเพราะว่ามันเร็ว มันทำได้เร็ว กว่าต้นไม้ใหญ่ชนิดอื่น แล้วก็สวยด้วย และราคาก็ถูกลงมาเยอะ สำคัญเลยคนสามารถซื้อไปทำบอนไซได้เอง”
เสน่ห์ของแก้วแคระ
“มองปุ๊บเราจะเห็นเลยว่ามันดูสวยงามมากเลยตามตามธรรมชาติ โดยที่ไม่ต้องตกแต่ง มันสวยอยู่แล้ว” สมภพอวดความงามของแก้วแคระ
แต่จะสวยยิ่งกว่านั้นหากนำมาทำเป็นบอนไซ หรือไม้ดัดไทย จะยิ่งเป็นการเพิ่มพูนความงดงาม สมภพบอกว่ายิ่งถ้านำไปปลูกในกระถางจีนจะยิ่งเพิ่มความสง่าผ่าเผย ดูมีราศีมากขึ้น
“เอาไปตั้งตงไหนก็ได้ในส่วนของบ้าน เพราะว่ามันเข้าได้ทุกมุมมันเป็นไม้ที่ทรงไม่ใหญ่จนเกินไป ไม่เกะกะ เข้ามุมไหนก็ดูสวย ทำให้บ้านสวย”

การปลูกเลี้ยงแก้วแคระ อาศัยแค่ธรรมชาติ
“เราเลี้ยงต้องตากแดดจัดๆ ยิ่งจัดพุ่มยิ่งกลมแน่น” นี่คือการเลี้ยงแก้วแคระแบบง่ายๆ ไม่ต้องมีเทคนิคอะไรมาก เพราะแก้วแคระเป็นไม้แดด หากเลี้ยงในพื้นที่รำไร พุ่มจะไม่แน่น กลม
“ถ้าแดดจัดๆ มันจะแน่นเปรี๊ยะเลย” สมภพย้ำ

เมื่อสอบถามถึงราคาแก้วแคระที่บอกว่าราคาไม่แพงนั้น คือเท่าไหร่ “ขายที่สวนราคาหน้าร้านอยู่ที่ 200 บาท” ขนาดในกระถาง 6 นิ้ว ซึ่งในอดีตราคาไม้ไซส์นี้ราคาสูงถึง 500 บาท แต่เนื่องจากการผลิตที่มีจำนวนมากขึ้น จึงทำให้ราคาลดลงตาม เท่ากับว่าราคาลดลงมากว่าเท่าตัว
“แต่ถ้าขายปลีกก็ 300 บาท”
 อย่างไรก็ตามแม้แก้วแคระจะเป็นไม้เลี้ยงง่าย แต่ข้อจำกัดสำคัญของมันคือ โตช้า และการจะขยายพันธุ์ทำให้ได้ปริมาณมากๆ นี่ก็ยางไม่แพ้กัน
วิธีการขยายพันธุ์มีเพียงทางเดียวเท่านั้น คือ การปักชำ จากกิ่งเล็กๆ เท่าก้านไม้ขีด ส่วนการขยายพันธุ์ทางอื่นทดลองแล้วไม่สำเร็จ ซึ่งการชำกิ่งสมภพบอกว่า “กว่ามันจะออกรากต้องใช้เวลา 2-3 เดือน ส่วนใหญ่มือใหม่ๆ ชำกันเน่าตายก่อนรากจะงอกเกือบหมด คนที่ทำไม่ถูกหลักการมันก็เน่าหมดแหละ”
นี่คืออุปสรรคใหญ่ของการขยายพันธุ์แก้วแคระ แต่สำหรับสมภพที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อแก้วแคระ ก็เพราะเขาศึกษา ทดลองชำกิ่งแก้วแคระจนมีความชำนาญ 
“ต้องเรียนรู้เอง อย่างผมเรียนผิดเรียนถูกมาเป็น 10 ปี ไม่ได้ใช้เวลาน้อยๆ ที่เราจะปักชำให้ไม้ได้เปอร์เซ็นต์รอดสูงๆ ตอนนี้ผมทำให้รอดได้ 90% เราต้องศึกษาธรรมชาติของเขาด้วย พออกรากแล้วไม่ใช่ว่าจะไม่ตาย ย้ายขึ้นมาปลูกใส่กระถางแล้วยังมีที่เสียหายอีกเยอะ ถ้าทำไม่ถูกวิธี ถ้าดูแลไม่ถึง มันก็ตายการดูแลเริ่มต้นนี่เหมือนลูกอ่อนเลยหล่ะ”
เจ้าพ่อแก้วแคระย้ำว่าการผลิตแก้วแคระให้มีจำนวนทำได้ยาก เพราะต้องใช้กิ่งเล็กๆ มาชำ และค่อยๆ เลี้ยงให้ขนาดใหญ่ ใช้เวลาไม่ใช่น้อยเลย
นี่เองที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แก้วแคระราคาสูง เพราะเริ่มจากปักชำ ไปจนกว่าจะขายได้ราคา 200 ใช้เวลาถึง 2 ปี
“แต่ถ้าเราขายแพงเกินไป มันก็ไม่ได้ ตลาดมันก็เป็นไปตามวัฏจักรของต้นไม้ เราขายแพงเกินไปก็ไม่มีใครซื้อเรา”
สำหรับคนที่พึ่งเริ่มต้นเลี้ยงแก้วแคระ ต้องทำอย่างไรบ้าง....???
เจ้าพ่อแก้วแคระไทย แนะว่าต้องรดน้ำทุกวัน ขาดไม่ได้แม้แต่วันเดียว ยกเว้นวันที่ฝนตกนั้น หรือขาดได้จริงๆ ก็ไม่เกิน 1 วัน “ถ้ารดน้ำทุกวันก็แทบไม่มีโอกาสตาย”
ส่วนอาหารนอกจากน้ำก็มี ปุ๋ย ส่วนมากเขานิยม ปุ๋ยละลายช้า “ออสโมโค้ท”  สูตร  3 เดือน สูตร 13-13-13 หรือ สูตรเสมออะไรก็ได้
วัสดุปลูกแก้วแคระไม่ต่างจากชวนชมเลย คือ มีดิน 1 ส่วน กาบมะพร้าวสับ 4 ใบก้ามปู 2 ส่วน และปุ๋ยคอก 1 ส่วน แล้วถ้าหมักด้วยจะดีที่สุด หมักอย่างน้อยๆ 10 วัน แล้วก็หมั่นกลับให้ดินไม่อบร้อน
“ไม้ต้นนี้บางครั้งก็มีดอก บางครั้งก็ไม่มีดอก ถ้าเขามีดอกเขาจะติดผล แต่เขาไม่ได้ออกดอกบ่อยๆ นานๆ จะออกดอกสักครั้ง เป็นเหตุผลหนึ่งที่เราต้องขยายพันธุ์ด้วยการปักชำ กิ่งเขาเล็กมาก จะตอนก็ตอนไม่ได้ เราเลยต้องใช้ปักชำ เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด”
พอปักชำนี่เราใช้แค่กิ่งเล็กๆ ไม่ใช่กิ่งใหญ่ เป็นกิ่งที่มีใบ มียอดใช้ได้หมด มันต้องจุ่มน้ำยาเร่งราก ชำในขี้เถ้าแกลบ ไม้ที่จะปักชำต้องจุ่มน้ำยาเร่งราก จะช่วยให้ได้ผลดี ถ้าเราไม่จุ่มน้ำยาเร่งราก โอกาสที่จะออกรากนี่ก็ยาก และต้องใช้เวลานานกว่าจะออกราก พอนานมันก็จะเน่า
การปักชำยากอย่างไร จึงทำได้ยาก...???
แค่ไม่รู้ว่าธรรมชาติของเขาเป็นอย่างไรเท่านั้นเอง วิธีการปักชำเขาก็เหมือนต้นไม้ธรรมดาทั่วไป
“แต่มันมีเทคนิคในการควบคุมแสง ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญ ต้องศึกษากันยาวเลยเรื่องนี้ กว่าเราจะเรียนผิดเรียนถูกว่าแสงเท่านี้ อุณหภูมิเท่านี้ถึงจะพอ แล้วควรจะปักในช่วงฤดูไหนจึงจะดีที่สุดอย่างนี้ ตรงนี้แหละที่เราใช้เวลานาน นี่เป็นการลองผิดลองถูกมาในช่วงเวลาเป็น 10 กว่าปี”


เลี้ยงแบบบอนไซ และงานประกวด ปลุกกระแสแก้วแคระ
บอนไซทรงตกกระถาง สร้างจากต้นแก้วแคระ
 แม้จะเป็นแค่ขั้นตอนการวางโครงสร้าง 
แต่ก็ยืนยันได้ว่าไม้โตช้าตัวนี้นำมาสร้างเป็นบอนไซได้
จากการปลูกเลี้ยงแก้วแคระเพื่อการค้าของสมภพมาเป็นเวลากว่า 1 ทศวรรษ เขาบอกว่ามีแนวโน้มความนิยมของตลาดที่ดี กระจกสะท้อนมากจากมีการจัดประกวดแก้วแคระขึ้นมาโดยเฉพาะในงานใหญ่ระดับชาติ ซึ่งก็คือ งานพฤกษาสยาม ที่จัดโดยเดอะมอลล์ นั่นเอง
“ตอนนี้ถือว่าแก้วแคระเป็นไม้ที่ประสบความสำเร็จทีเดียว แก้วแคระเป็นไม้ที่สวยตัวหนึ่ง แล้วก็เป็นไม้ที่ยั่งยืน สามารถจะพัฒนาการเล่นไปเรื่อยๆ มีความหลากหลายขึ้น จากทรงพุ่มธรรมดา มาเป็นบอนไซ มาจัดสวนถาด มาเกาะหิน มันได้หมด มันเข้าอะไรได้หมด ทำก็ง่าย  อย่างเราไปจัดสวนถาด ใช้แก้วแคระเข้าไปเป็นส่วนประกอบได้เลย หรือว่าจะเกาะหินก็ได้ จะทำเป็นบอนไซเกาะหิน หรือบอนไซทรงต้นก็ได้ ตกกระถางหรือว่าอะไร ได้ทุกทรง ในมาตรฐานบอนไซ”
ความพิเศษของแก้วแคระคือมีใบเล็ก ต้นแคระอยู่แล้ว เมื่อนำมาเลี้ยงแบบบอนไซ จึงทำให้เหมือนต้นไม้ใหญ่ได้ง่ายและไว กว่าไม้บอนไซชนิดทั่วไป ที่ต้องใช้ไม้ใหญ่มาตัดแต่ง และความได้เปรียบของแก้วแคระคือ สามารถนำมาทำเป็นบอนไซได้ทุกรูปทรง เช่น ทรงตกกระถาง ทรงต้น และทรงลู่ลม เป็นต้น
“จะเอาแก้วแคระพุ่มกลมแน่นๆ มาทำบอนไซ ก็ต้องตัดออกออกเกือบหมด จากพุ่มใหญ่ๆ ตัดออกเหลือแค่ไม่กี่กิ่ง เหลือไว้แต่กิ่งหลักที่ต้องการ แล้วเราค่อยมาสร้างใหม่ มาปลูกกันใหม่ นี่แหละการทำบอนไซ มาตรฐาน”
อย่างไรก็ตามหากต้องการทำแก้วแคระให้สวยงามและเป็นที่ยอมรับของวงการบอนไซ ต้องทำตามหลักเกณฑ์ของสมาคมบอนไซ และเป็นที่ยอมรับของนักเล่นบอนไซ ซึ่งขณะนี้มีมือบอนไซไม่น้อยเลยที่กำลังนำแก้วแคระไปปลูกเลี้ยงสไตล์บอนไซมาตรฐาน
ทั้งนี้แก้วแคระต้นที่นำมาตัดแต่งเป็นบอนไซจะมีกิ่งเล็กๆ ที่ต้องตัดทิ้ง เพื่อเอาแต่กิ่งหลัก ส่วนกิ่งที่ตัดทิ้งเราก็นำไปปักชำใช้เวลาประมาณ 3 เดือนก็จะออกราก แตกยอดใหม่ เพิ่มจำนวนได้อีกมากทีเดียว
ว่ากันว่ากิ่งที่แต่งทิ้งเพียงต้นเดียว นำไปปักชำได้หลายร้อยกิ่ง
ลักษณะพิเศษของแก้วแคระอย่างแรกคือ ใบเล็ก และแคระนี่แหละที่ทำให้นักนิยมไม้แปลงชอบ 
กำลังลามไปสู่นักเล่นบอนไซ
อย่างไรก็ตามสมภพยอมรับว่า แก้วแคระที่เลี้ยง มีบางต้นที่เกิดการกลายพันธุ์หลายรูปแบบ เช่น ทรงพุ่มไม่กลม หรือต้นที่กลายจากใบเล็กเป็นใบใหญ่ เป็นต้น
ส่วนที่กลายพันธุ์ ต้นไหนที่ต่างและแปลกไปจากเดิม ก็ตัดมาปลูกใหม่ ใบใหญ่ขึ้น “ผมคิดว่าต้นที่กลายใบใหญ่มันน่าจะมีดอก เพราะบางต้นที่กลายออกมาแล้วมันมีดอก แต่อันปกติไม่มีดอก”

ขอขอบคุณ
สมภพ มะลิสุวรรณ
75/7 ซ.โชควัฒนะ 5 ถ.สวนผัก เขตตลิ่งชัน กรุงเทพ โทรศัพท์ 08-1484-4828

ถั่วดาวอินคา


ต้นถั่วดาวอินคา 

ซึ่งเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศเปรูกำลังเป็นที่สนใจในอุตสาหกรรมอาหาร และอาหารเสริม เพราะอุดมไปด้วยวิตามินอีและกรดโอเมก้า ที่มีประโยชน์ 


วิธีปลูกและสถานที่ปลูก

-ปลูกได้ในทุกภาคของประเทศไทย
-ต้องปลูกโดยระบบเกษตรอินทรีย์ (ไม่ใช้สารเคมี)
-ต้นมีอายุยืนยาวตั้งแต่ 15-50 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแล
-ระยะห่างระหว่างต้น 2 x 2 เมตร 1 ไร่ประมาณ 250 - 300 ต้น
-ระยะเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิต ประมาณ 10-12 เดือน นับจากลงกล้าปลูก (ให้ผลตอบแทนสูงมาก,ดูแลง่าย)
-ราคาต้นกล้า 40 บาทต่อต้น , เมล็ดพันธุ์ ราคา 10 บาทต่อเมล็ด
-ราคารับซื้อ ดอกหรือฝักแก่ 30 บาทต่อกิโลกรัม 

ประโยชน์ของต้นถั่วดาว

ยอดของต้นถั่วดาวอินคา  : สามารถนำไปประกอบอาหาร มีรสชาดิอร่อย มีโอเมก้า 3 6 9 และวิตามิน A E
ใบของต้นถั่วดาวอินคา  : สามารถนำไปทำเป็นใบชาหรือนำไปสกัดเป็นคลอโรฟิลล์ ซึ่งมีคุณค่ามากกว่าคลอโรฟิลล์ทั่วๆ ไปถึง 200 เท่า , สกัดน้ำจากใบเป็นน้ำเพื่อสุขภาพ
ดอกหรือฝักต้นถั่วดาวอินคา : นิยมนำมาสกัดเป็นน้ำมัน ซึ่งมีประโยชน์สำหรับมนุษย์มี เพราะมีโอเมก้า 3 6 9 และวิตามิน A E   (นำมาบรรจุแคปซูล) , นำมาประกอบอาหารหรือทำน้ำสลัด ทางด้านความงานและอาหารเสริม เช่น โฟม สบู่ ครีมบำรุงผิว โลชั่น เป็นต้น ซึ่งเป็นที่ต้องการของต่างประเทศมาก ในปัจจุบัน
เปลือกของต้นถั่วดาว : นำมาเป็นปุ๋ยเกษตรอินทรีย์หรือจะอัดก้อน ใช้เป็นพลังงานความร้อน ชีวมวล อีกก็ได้

ทำไมต้องปลูกถั่วดาวอินคาหรือต้นเศรษฐี sacha inchi : เมื่อเทียบกับพืชเศรษฐ์กิจตัวอื่นๆ ต้นถั่วดาวอินคา จะให้ผลตอบแทนต่อไร่ที่สูงกว่าพืชตัวอื่นๆมาก (ให้ผลผลิต ดอกหรือฝัก 1-200,000 บาท/ไร่/ปี)และปัจุบันตลาดมีความต้องการดอกหรือฝักเป็นอย่างมากและก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาดและการปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ ต้นถั่วดาวหรือต้นเศรษฐี sacha inchi จึงเป็นที่ต้องการของตลาดโลกและตลาด AEC เป็นอย่างมาก ปลูกเพียง 10 - 12 เดือน สามารถเก็บผักหรือดอก ขายได้แล้ว จึงเป็นที่มาชื่อต้นเศรษฐี โอเมก้าบนดิน ซึ่งลงทุนในระยะเวลาที่สั้น แต่สามารถเก็บเกี่ยวดอกหรือฝักได้ยาวนานถึง 50 ปี

​    จะเห็นได้ว่าประโยชน์ต้นถั่วดาวอินคาหรือต้นเศรษฐี sacha inchi มีประโยชน์ทุกๆส่วน แถมมีอายุยืนยาว จึงเป็นพืชเศรษฐ์กิจที่มีความสำคัญที่ภาครัฐและหน่วยงานที่รับผิดชอบ ที่จะต้องให้ความรู้และให้การสนับสนุน ทางด้านการเพาะปลูก การแปรรูป การตลาดเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรไทยที่จะต้องแข่งขัน สินค้าทางด้านการเกษตรได้และเพื่อที่รองรับตลาด AEC ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าและเราก็เป็นหนึ่งในสมาชิกนั้น




ต้นนี้คือต้นVolubilis Plukenetia หรือนิยมเรียกกันว่าSacha Inchi หรือ ต้นถั่วดาวอินคา ที่คนไทยเรียนว่าต้นถั่วดาวอินคา มาจากเมล็ดสด เหมือนรูปดาว แต่ถิ่นกำเนิดของพืชชนิดนี้มาจากป่าอะเมซอนในเปรู
    ต้นถั่วดาวอินคาเติบโตในสภาพอากาศอุ่น (10 ํ C Min - 36 ํ C max) จะเจริญเติบโตในระดับความสูงตั้งแต่100 เมตร ถึง 2000 เมตร จากระดับน้ำทะเล ช่วงชีวิต มีอายุถึง 10-50 ปีและเชื่อกันว่าพืชชนิดนี้มีอายุมากกว่า 3000ปี 
    ดอกจากต้นถั่วดาวอินคามี2เพศมีลักษณะต่างกัน ดอกตัวผู้มีขนาดเล็กสีขาวและอยู่เป็นกลุ่ม ดอกเพศเมียจะอยู่ที่ ฐานของช่อดอก


ผลจากต้นถั่วดาวอินคาจะมีขนาด 3 ถึง 5 ซม. เส้นผ่าศูนย์กลาง 4-7 ผลสดจะเป็นสีเขียวและผลแก่จะเป็นสีน้ำตาลดำ ลักษณะของเมล็ดมีประมาณ 4-5 แฉก แต่บางครั้งอาจมีได้ถึงเจ็ดแฉก


ภายในมีเมล็ดรูปไข่สีน้ำตาลเข้ม, มีขนาด1.5-2 ซม. จากเส้นผ่าศูนย์กลางและ หนักประมาณ 45-100 กรัม และคล้ายกับอัลมอนด์ เมล็ดดิบกินไม่ได้ แต่หลังจากอบเปลือกจนสุกแล้ว ก็สามารถทานได้


     เมล็ดจากต้นถั่วดาวอินคา เมื่อแก่เต็มที สามารถเอาเมล็ดมาสกัดออกมาเป็นน้ำมันได้ น้ำมันที่ได้ออกมามีองค์ประกอบ มีสูงโปรตีน (27%) และน้ำมัน (35 - 60%) และในน้ำมันยังอุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็น
 1.โอเมก้า 3 กรดไลโนเลนิ   (45-53%ของปริมาณไขมัน)
 2.โอเมก้า 6 กรดไลโนเลอิก (34-39% ของปริมาณไขมัน)
 3.โอเมก้า 9 (6-10% ของปริมาณไขมัน) 
 4.ยังอุดมไปด้วยไอโอดีน
 5.วิตามิน เอ
 6.วิตามิน อี


น้ำมันจากเมล็ดถั่วดาวอินคา ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติสำหรับรสชาติและคุณสมบัติทางด้านสุขภาพ ในเดือนมิถุนายนปี 2007 น้ำมันถั่วดาวอินคา ได้รับรางวัลMedaille (เหรียญทอง)ในการแข่งขันอาหารพิเศษสินค้าโภคภัณฑ์ AVPA 
น้ำมันถั่วดาวอินคาได้รับการเรียกว่า Super food เพราะมีคุณสมบัติสูงมีกรดไขมันที่จำเป็น น้ำมันที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ไม่รุนแรง 


งานวิจัยใหม่ที่เน้นประโยชน์ต่อสุขภาพของกรดไขมันโอเมก้า, ให้ความสนใจในแหล่งที่ยั่งยืนของโอเมก้าเพิ่มขึ้น น้ำมัน ัถั่วดาวอินคาถูกนำมาใช้ในอาหารมังสวิรัติเพราะเพื่อให้ได้มากรดไขมันโอเมก้า 3 
  ประโยชน์ต่อสุขภาพของน้ำมันจากถั่วดาวอินคา
  1.ช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลHDL
  2.ป้องกันการแข็งตัวของเลือด โดยการรักษาระดับไขมันอิ่มตัวในกระแสเลือด ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและความดันเลือดสูง
  3.ช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์และป้องกันความดันโลหิตสูง
  4.ในโรคเบาหวาน / ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดอาการซึมเศร้า / สุขภาพจิตแจ่มใส
  5.รักษาความลื่นไหลและความแข็งแกร่งของเยื่อหุ้มเซลล์
  6.ช่วยลดการอักเสบของหลอดเลือดโรคไขข้อ
  7.ช่วยดูแลโรคผิวหนัง หอบหืด  แผล ไมเกรน  ต้อหิน
  8.มีสารต้านอนุมูลอิสระ  ควบคุมความดันตาและเส้นเลือด
  9.การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันหน้าที่เป็นสื่อกลางขนส่งออกซิเจนเครือข่ายจากเซลล์ของเลือดไปยังเนื้อเยื่อของไตทำงานให้เหมาะสม




แมลงเต่าทอง

แมลงเต่า ทอง หรือด้วงเต่าทอง หรือนิยมเรียกกันว่า เต่าทอง หรือ Ladybird, Ladybug ในภาษาอังกฤษ จัดเป็นแมลงปีกแข็งขนาดเล็กเมื่อเทียบกับแมลงปีกแข็งทั่วไป ตัวป้อมๆ ลำตัวส่วนหลังมีสีเหลือง หรือสีทอง หรือสีแดง บางสกุลมีหลังสีเงิน หรือสีใส เรียกว่า เต่าเงิน บางชนิดมีจุดวงกลมสีดำ ปีกแข็งใส โค้งนูน เมื่อหุบปีกเข้าหากันจะจดกับด้านหลังทำให้มองคล้ายหลังเต่า และโดยมากจะมีหนวด
                                                                           เรื่องน่ารู้ ของแมลง เต่าทอง

           
วงจรชีวิตของแมลงเต่าทอง แมลงเต่าทองวางไข่ใช้เวลา 3 วัน ไข่จะฟักออกมาเป็นหนอนที่ยังเป็นตัวอ่อน ก่อนจะกลายเป็นหนอนที่มีขนยาวปกคลุมทั้งตัวเมื่ออายุ 7 วัน และเข้าสู่การเป็นดักแด้ในวันที่ 10-12 ใช้เวลา 5 วันก่อนจะออกมาจากดักแด้ และกลายเป็นแมลงเต่าทองในที่สุด
ข้อมูลจากสำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร เขียนว่า สันนิษฐานกันว่าแมลงเต่าทองมีอยู่บนโลกใบนี้ยาวนานกว่า 300 ล้านปี โดยมีมากกว่า 100 สายพันธุ์ มีเรื่องเล่าว่า ช่วงปลายปีค.ศ.1880 รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เกิดฝูงแมลงเข้าทำลายผลส้ม ชาวสวนนึกได้ถึงเรื่องเล่าที่ว่าเกิดแมลงศัตรูพืชจำนวนมากมาทำลายข้าวในนา ชาวนาอับจนปัญญาช่วยตัวเองไม่ได้ จึงสวดอ้อนวอนพระแม่มารี พระนางก็ได้ส่งแมลงเต่าทองจำนวนมากมายลงมาช่วยจัดการกับเหล่าศัตรูพืชจนหมด จากเรื่องเล่าชาวสวนส้มแคลิฟอร์เนียจึงรวมกันสั่งซื้อแมลงเต่าทองจำนวน 1,000 ตัว จากออสเตรเลีย เข้ามาปล่อยให้แพร่พันธุ์ในสวนส้ม ซึ่งเลดี้บั๊กก็ได้ช่วยกันกำจัดแมลงศัตรูพืชจนหมดสิ้น
ในความเป็นจริงแมลงเต่าทองมีความสามารถ ในการหาที่อยู่ใหม่ และพัฒนารูปแบบการใช้ชีวิตหากินในระบบนิเวศได้เป็นอย่างดี มันสามารถหากินในที่แคบ และอาศัยอยู่ใต้ก้อนหินหรือเปลือกไม้ได้ ในยามที่อากาศหนาวเย็นมักพบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ซึ่งบางคนบอกว่าช่วงนี้เป็นการจำศีล หรืออาจพักร่างกาย เพื่อรอช่วงใบไม้อ่อนผลิออกมา
เต่าทองตัวเมียเริ่มออกวางไข่ ซึ่งมีลักษณะรูปร่างรีๆ สีเหลือง ยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร เรียงคล้ายบันไดใต้ใบไม้ หลังตัวอ่อนฟักออกมาสู่โลกภายนอก มีลำตัวยาวสีเทาดำ มีจุดลายสีขาวอมเหลือง มีหนามตามลำตัว มีขา 3 คู่ เคลื่อนไหวได้ว่องไวเพื่อล่าเพลี้ยกินเป็นอาหาร ตุนไว้ดำรงชีวิตให้อยู่รอดขณะเปลี่ยนเป็นดักแด้ พอโตเต็มวัยมีสีแดง แดงอมส้ม หรือเหลือง ที่ปีกมีจุด 6 จุด เป็นเส้นหยักขวาง 2 คู่ และจุด 1 คู่ ใกล้ปลายปีก
ปัจจุบันมีโอกาสเห็นเลดี้บั๊กกันน้อย สาเหตุหนึ่งมาจากการใช้สารเคมีในไร่สวนจำนวนมาก บ้าน ไหนที่ปรับเปลี่ยนไปใช้ชีวภาพกำจัดศัตรูพืช เต่าทองก็จะออกมาอวดรูปโฉมให้เห็น เสมือนบ่งบอกว่าโชคดี (เพราะลดต้นทุนการผลิตลงได้) กำลังมาเยือนสวนนี้แล้ว ฉะนี้จึงกล่าวได้ว่า แมลงเต่าทองเป็นตัวชี้วัดสภาพแวดล้อมว่ามีสารพิษตกค้างอยู่มากน้อยเพียงใด ได้เป็นอย่างดี
แมลงเต่า ทองเป็นขวัญใจของหลายคน เพราะสวยงาม ทั้งดูเป็นมิตร และแม้จะมีหลายชนิด มีลักษณะสีที่หลากหลาย แต่แมลงเต่าทองมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือการใช้เวลาส่วนใหญ่ด้อมๆ อยู่ตามต้นไม้ เพื่อหาอาหารนั่นเอง และแม้ว่ามันจะบินได้ แต่แมลงเต่าทองชอบเดินมากกว่าด้วยขาทั้งหกของมันซึ่งแข็งแรงพอที่จะพาตัวไต่ ขึ้นๆ ลงๆ ตามลำต้นไม้ ครั้นฤดูใบไม้ผลิมาเยือนแมลงเต่าทองจะรวมตัวกันตามกอไม้ดอก เพื่อรวบรวมละอองเกสรให้มากที่สุด เพราะละอองเกสรจะให้ไขมันมาก เพื่อใช้สำหรับการดำเนินชีวิตในหน้าหนาวซึ่งมันจะจำศีล

คอลัมน์ รู้ไปโม้ด น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com

วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

วิธีรักษาสิวอย่างรวดเร็วในชั่วข้ามคืนด้วยตนเอง

สิวเป็นปัญหาใหญ่สำหรับหลายๆคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับวัยรุ่นด้วยแล้ว สิวสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ที่มีทั้งสิวเสี้ยน สิวหัวดำ สิวหัวขาว สิวหัวช้างหรือสิวเรื้อรัง ขยายลุกลามเหวอะหวะกลายเป็นรอยแผลเป็นที่น่าเกลียดขึ้นได้ หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ยอมรักษา แต่จากนี้ไป ถ้าคุณมองตัวเองในกระจกและเห็นสิวบนใบหน้า คุณจะไม่ต้องกังวลอีกต่อไป!! ข่าวดีคือ มีหลายวิธีดีๆ และคุณสามารถทำได้ด้วยตัวเองเพื่อกำจัดสิว วันนี้เราจึงได้รวบรวมวิธีการรักษาสิวได้อย่างรวดเร็วในชั่วข้ามคืนมาฝากค่ะ เป็นเคล็ดลับดีๆ เพื่อช่วยให้คุณรักษาสิวทั้งหมดได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ หรืออาจจะภายในช่วง 2-3 วัน ก็เป็นไปได้ ในบทความนี้จะมุ่งเน้นไปที่สองสิ่งที่สำคัญคือ เคล็ดวิธีการรักษาสิวด้วยตนเองและการดูแลผิวเบื้องต้นที่คุณควรปฏิบัติทุกวัน



วิธีการกำจัดสิวแบบเร่งด่วน
แต่เมื่อมีความจำเป็นที่คุณต้องการกำจัดสิวให้หายไปในเพียงชั่วข้ามคืน ลองใช้วิธีการต่อไปนี้เพื่อการกำจัดสิวได้อย่างรวดเร็ว

1 ยาสีฟัน
ในตัวยาสีฟันจะมีสารไทรโคลซาน (triclosan) มีคุณสมบัติเป็นสารยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิว โดยเริ่มจากล้างหน้าก่อนนอนและเช็ดให้แห้ง(เบาๆ) ใช้ยาสีฟันสีขาวแต้มที่สิว หลังจากนั้น 30 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำอุ่นให้สะอาด
ข้อแนะนำคือ ใช้เป็นแบบครีมตัวยาสีฟัน ไม่ควรใช้เป็นแบบเจลยาสีฟัน เพราะมักจะมีส่วนผสมอื่น ๆ ที่สามารถทำให้ผิวของคุณระคายเคืองได้

2 แพ็คน้ำแข็ง
โดยนำก้อนน้ำแข็งไปห่อในผ้าขนหนูนุ่ม แล้วนำไปวางบนสิวของคุณ มันจะช่วยลดการอักเสบบวมและอาการคันได้นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำแข็งในบริเวณอื่นๆของใบหน้าที่ไม่ได้เป็นสิว เพราะมันจะทำให้ผิวแห้ง

3 น้ำมะนาว
ใช้น้ำมะนาวแต้มที่สิวก่อนเข้านอน ในน้ำมะนาวประกอบด้วยวิตามินซี ซึ่งทำหน้าที่เป็นยาสมานแผล มันมีประสิทธิภาพช่วยในการทำให้สิวของคุณแห้ง นอกจากนี้ การดื่มน้ำมะนาวยังเป็นการทำดีท็อกซ์จะช่วยขจัดสารพิษที่สะสมในร่างกายด้วยนะค่ะ

4 เบรคกิ้งโซดา
เบรคกิ้งโซดา ก็คือ ผงฟูหรือโซเดียมไบคาร์บอเนตนั่นเอง ที่จะช่วยควบคุมระดับ pH ของผิว คุณสามารถใช้ผงฟูเพื่อผลัดผิวหน้าของคุณ โดยการนำผงฟูผสมกับน้ำ จากนั้นนำไปแต้มสิวบริเวณที่ติดเชื้อเท่านั้น และตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้ทิ้งไว้นานเกินไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีผิวที่บอบบาง โดยผงฟูมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบและยังช่วยกำจัดรอยแผลเป็นจากสิวได้ด้วยนะค่ะ

5 ใช้อบเชยผสมน้ำผึ้ง
น้ำผึ้งเป็นยาประจำบ้านที่ดีในการรักษาสิว มันช่วยให้ผิวของคุณสามารถเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ น้ำผึ้งยังมีสารอาหารที่จำเป็นและช่วยในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิว โดยเรานำน้ำผึ้งแต้มที่สิวที่มีการติดเชื้อและทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น หรืออีกวิธีคือ นำน้ำผึ้งมาผสมกับอบเชย จากนั้นพอกให้ทั่วหน้า ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น หากกลัวเปื้อนที่นอนสามารถใช้ผ้าบางรองไว้บนหมอน

6 มากส์หน้าด้วยไข่ขาว
ล้างหน้าและเช็ดหน้าของคุณให้สะอาด จากนั้นตอกไข่และแยกไข่แดงออก เพื่อแยกเอาเฉพาะไข่ขาว จากนั้นทาไข่ขาวบาง ๆ บนใบหน้าที่สะอาดและปล่อยให้แห้งประมาณ 10 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำเช่นนี้สัปดาห์ละครั้ง แล้วคุณจะเห็นถึงความแตกต่างว่า ผิวของคุณกระชับขึ้น


เคล็ดลับอื่น ๆ เกี่ยวกับวิธีการกำจัดสิวชั่วข้ามคืน ที่ควรทำอย่างยิ่ง
- หยุดเอามือสัมผัสหน้า หรือเท้าคางเวลาคิด เพราะมือของเราเต็มไปด้วยแบคทีเรีย ซึ่งจะทำให้สิวเห่อได้

- สวมเสื้อผ้าที่สะอาด หนึ่งนี้ควรจะเป็นสามัญสำนึก ผ้าเช็ดหน้าปลอกหมอนและของคุณยังตกอยู่ภายใต้นี้ สิ่งเหล่านี้มักจะอยู่ในการติดต่อกับใบหน้าของคุณเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขามักจะทำความสะอาด

- ล้างหน้าให้สะอาด ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง ด้วยสบู่อ่อนที่ไม่ระคายเคือง แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ซับเบาๆด้วยผ้าขนหนู จำไว้ว่าไม่ควรล้างหน้าบ่อยๆ เพราะจะทำให้ผิวหน้าสูญเสียความชุ่มชื่น โดยไม่ได้ช่วยป้องกันสิวแต่อย่างใด

- ออกกำลังกายและกินเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายช่วยทำให้เลือดหมุนเวียนดี มีออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆได้เต็มที่ และจะช่วยให้คุณมีผิวที่สวยงามขึ้นด้วย ควรให้เวลาที่เพียงพอสำหรับการออกกำลังกาย อย่างน้อย 3 ครั้ง /สัปดาห์

- กินเพื่อสุขภาพ การดูแลรักษาสุขภาพจะช่วยให้คุณมีผิวที่สวยงามขี้น ควรรับประทานผักและผลไม้จำพวกถั่วและเมล็ดธัญพืชในอาหารประจำวันของคุณ เพราะประกอบไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินมากมายที่ช่วยในการบำรุงผิวพรรณของคุณให้สวยเปล่งปลั่ง

- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะขณะที่นอนหลับ เซลล์ผิวหนังจะฟื้นฟูสภาพตัวเองที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน
ลองเข้านอนให้เร็วขึ้นกว่าปกติ 1-2 ชั่วโมง หน้าตาจะสดใสขึ้นค่ะ

- จัดการความเครียด สาเหตุของการเป็นสิวที่พบบ่อยคือความเครียด ดังนั้นควรหาวิธีผ่อนคลาย เพราะจะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง รวมทั้งการทำงานของเม็ดเลือดขาวในร่างกายดีขึ้น

- ทำดีท็อกซ์ การเป็นสิวย่อมแสดงว่าร่างกายในช่วงนั้นมีท็อกซินหรือพิษสะสมในร่างกาย การทำดีท็อกซ์จะช่วยขจัดสารพิษในร่างกายได้

- ปรึกษาแพทย์ของคุณ ในบางกรณีการเกิดสิวอาจจะรุนแรง หากใช้วิธีรักษาสิวด้วยตนเอง แล้วพบว่า อาการไม่ดีขึ้นหรือเป็นมากขึ้น ทางออกที่ดีที่สุดคือไปพบแพทย์ทันที การรักษาอื่น ๆ อาจมีความจำเป็นเพื่อรักษาสิวบนใบหน้าของคุณ

เรียบเรียงเนื้อหาโดย : acnecaresite.blogspot.com
ที่มา http://acnecaresite.blogspot.com/2012/07/blog-post_1279.html

วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558

น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ

น้ำผลไม้

น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ คือ ของเหลวที่อยู่ในเนื้อเยื่อของผลไม้ตามธรรมชาติ น้ำผลไม้จะได้มาจากการนำผลไม้ไปคั้นหรือปั่นผลไม้เหล่านั้นโดยไม่ใช้ความร้อนหรือตัวทำละลาย ซึ่งน้ำผลไม้สำเร็จรูปที่วางขายหลายยี่ห้อจะถูกกรองเอากากใยอาหารออก แต่น้ำผลไม้ที่มีเนื้อก็ยังคงเป็นเครื่องดื่มที่นิยม โดยอาจขายในรูปแบบเข้มข้น ซึ่งจำเป็นต้องเติมน้ำเพื่อลดความเข้มข้นจนกระทั้งอยู่ในสถานะปกติ โดยน้ำผลไม้แบบเข้มข้นมักจะมีรสชาติที่ต่างจากน้ำผลไม้คั้นสดอย่างชัดเจน


น้ำกล้วย กล้วย เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินเอ ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ซึ่งล้วนแต่เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและประสาท ช่วยควบคุมความดันโลหิต เพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มความแข็งแรงสมบูรณ์ให้แก่ร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ

น้ำกีวี่ กีวี่อุดมไปด้วยวิตามินซี, คลอโรฟิลล์, ไฟโตเคมิคอล (Phytochemical), และแอคทินิดิน ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้หัวใจมีสุขภาพดี และช่วยลดความดันโลหิต

น้ำเกรปฟรุต น้ำผลไม้รสเปรี้ยวที่มีคุณสมบุติช่วยเผาผลาญไขมันและช่วยลดระดับอินซูลินซึ่งเป็นตัวการของน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น การดื่มน้ำเกรปฟรุตคั้นสดก่อนมื้ออาหารทุกมือ จะช่วยทำให้น้ำหนักตัวลดลงมากกว่า 1.5 กิโลกรัม ภายใน 3 เดือน โดยที่ไม่ต้องลดอาหารหรือไดเอ็ทเลย
เพื่อนๆมาลองทำกินกันดูนะ

ที่มา
http://frynn.com/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89/#